1.ควาหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
อัมรินทร์ เพ็ชรกุล (2551 : 2)
ได้ให้ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ไว้ว่าการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆหรือการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนหลายๆ
เครื่องภายในองค์กรหรือการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบเครือข่ายสาธารณะภายนอกซึ่งการเชื่อมต่อนั้นอาจจะผ่านสายสัญญาณที่เป็นลวดทองแดงคลื่นไมโครเวฟหรือสายใยแก้วนำแสงก็ได้
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2554 :
1-23) กล่าวว่าระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ
การนำเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
โดยใช้หลักการด้านการ สื่อสารข้อมูลมาประยุกต์ในการเชื่อมต่อ
และวัตถุประสงค์หลักของการสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์คือ
ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันและกัน
สุธี พงศาสกุลชัย (2551) ได้กล่าวไว้ว่า
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
หมายถึงวิธีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันผ่านสื่อกลางต่างๆเช่นสายสัญญาณ
หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น เพื่อทำให้สามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล
และใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
โอภาส
เอี่ยมสิริวงศ์ (2552) กล่าวว่า เครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ
การนำกลุ่มคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย
โดยใช้สื่อกลางซึ่งเป็นสายเคเบิลหรือคลื่นวิทยุเป็นเส้นทางการลำเลียงข้อมูลเพื่อสื่อสารระหว่างกัน
จากความหมายข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ การนำกลุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง
ๆ มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย ผ่านสื่อกลางต่าง ๆ เช่น สายสัญญาณ หรือคลื่นวิทยุ
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสาร ใช้ทรัพยากร และแลกเปลี่ยนข้อมูล
2. ความเป็นมาของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ก่อนที่จะมาสู่ยุคของการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นมนุษย์ได้เริ่มใช้เครื่องจักรในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยมีการประดิษฐ์เครื่องโทรเลขขึ้นมาในปีค.ศ.1837 ต่อมาในปี ค.ศ.1940 จอร์ช สทิบิทซ์
(George
Stibitz) ได้ใช้เครื่องพิมพ์ทางไกลหรือเครื่องเทเลไทป์ (teletype) ส่งโจทย์หรือปัญหาคณิตศาสตร์จากวิทยาลัยดาร์ตเมาท์ ในรัฐนิวแฮมเชียร์
ไปยังเครื่องคำนวณเลขเชิงซ้อนในรัฐนิวยอร์กและรับข้อมูลคำตอบกลับมาด้วยวิธีเดียวกัน
ภาพที่ 1.1 เทเลไทป์ของบริษัท(Siemens
teletype)
ที่มา : http://1.bp.blogspot.com
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า60ปีแล้วเริ่มจากในช่วงทศวรรษ 1950 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้จะเป็นเครื่องเมนเฟรม
และการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ใน ขณะนั้นจะมีลักษณะแบบแบทช์ (batch) โดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่ศูนย์คอมพิวเตอร์จะต้องรวบรวมงานที่ผู้ใช้ส่งมาให้ได้ปริมาณมากพอสมควรซึ่งขณะนั้นงานที่นำมาส่งจะมีลักษณะเป็นบัตรเจาะรู(punchcard)จากนั้นนำไปประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมๆกันทั้งนี้เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นเครื่องเมนเฟรมที่มีขนาดใหญ่ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย
และค่าใช้จ่ายในการประมวลผลของซีพียูค่อนข้างสูง ผู้ใช้ในยุคนั้นจึงไม่ค่อยได้รับความสะดวกในการทำงาน
ต่อมาในช่วงต้นของทศวรรษ 1960 ได้เริ่มมีการเชื่อมต่อเครื่องเมนเฟรมเข้ากับเครื่องเทอร์มินัล
โดยใช้ สายโทรศัพท์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้
ในการป้อนงานผ่านเครื่องเทอร์มินัลได้โดยไม่ต้องนำบัตรเจาะรูมาส่งที่ศูนย์คอมพิวเตอร์
ปี ค.ศ.1962 เจซีอาร์ ลิกค์ไลเดอร์ (J.C.R Licklider)
ซึ่งทำหน้าอยู่ที่แอ็ดวานซ์รีเสิร์ช โปรเจกต์เอเยนซีหรืออาร์ปา(ARPA : Advance Research Project Agency)ซึ่งเป็นที่มาของชื่อระบบเครือข่ายอาร์ปาเน็ตได้พัฒนาเทคโนโลยีการทำงานกลุ่มขึ้นมาเรียกว่าอินเทอร์กาแลกติคเน็ตเวิร์ก (Intergalactic
Network) ดังภาพที่ 1.2
ผู้คิดค้นระบบอาร์ปาเน็ต
ภาพที่ 1.2Joseph Carl Robnett Licklider (J.C.R Licklider)
ที่มา : http://history-computer.com
ปี ค.ศ.1964 นักวิจัยที่ดาร์ตเมาท์ได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้สามารถร่วมกันแบ่งปันเวลาการทำงานของซีพียูของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
เรียกว่า ระบบดาต์ตเมาท์ไทม์แชร์ริง (Dartmouth Time Sharing System) และในปีเดียวกันกลุ่มนักวิจัยที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสทส์หรือเอ็มไอที
(MIT : Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริค (General
Electric) และเบลล์แล็ป (Bell Lab)
ได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการจัดเส้นทางและควบคุมการทำงานของการเชื่อมต่อโทรศัพท์
ตลอดช่วงทศวรรษ 1960 ลีโอนาร์ด ไคลน์ร็อค (Leonard
Klienrock) พอล บาราน (Paul Baran) และโดนัลด์
เดวีส์ (Donald Davies)
ได้ร่วมกันคิดหลักการและพัฒนาระบบเครือข่าย ซึ่งใช้การรับส่งข้อมูลแบบแพ็กเก็ต (packet) หรือดาต้าแกรม (datagram)
ที่สามารถนำไปใช้กับเครือข่ายแพ็กเก็ตสวิตช์ (packet switch)
เพื่อรับส่งข้อมูลระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ ดังภาพที่
1.3 เป็นการใช้งานระบบดาต์ตเมาท์ไทม์แชร์ริง
ภาพที่ 1.3 การใช้งานระบบ Dartmouth Time-Sharing System
ที่มา : http://www.computerhistory.org
ปี ค.ศ.1965 โทมัส เมอร์ริลล์ (Thomas
Merrill) และลอเรนซ์ จี โรเบิร์ตส์ (Lawrence G. Roberts) ได้สร้างระบบเครือข่ายระยะไกลหรือระบบแว (WAN : Wide Area Network) ขึ้นมา
ปี ค.ศ.1969 มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแองเจิลลิส
มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาร์บารา มหาวิทยาลัยยูทาห์ และสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด
ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยนานาชาติที่ไม่หวังผลกำไรร่วมกันเชื่อมโยงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานเข้าด้วยกัน
โดยความเร็วที่ใช้ในขณะนั้น คือ 50 กิโลบิตต่อวินาที
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้ถูกนำไปประยุกต์และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเครือข่าย อาร์ปาเน็ตและเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ในปี
ค.ศ. 1985 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกา (NSF)
ได้ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง
และใช้ชื่อว่า NSFNET และต่อมาในปี ค.ศ. 1990 อาร์ปาเน็ตไม่สามารถที่จะรองรับภาระที่เป็นหลัก
(Backbone) ของระบบได้ อาร์ปาเน็ตจึงได้ยุติลง
และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายอื่นๆแทน จนกระทั่งเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
จนถึงทุกวันนี้ โดยเรียกเครือข่ายว่า
อินเทอร์เน็ตโดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา
และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากมายทั่วโลก
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยการเชื่อมต่อมินิคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
(AIT)
ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
แต่ในครั้งนั้นยังเป็นการเชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์
ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้าและไม่เป็นการถาวร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง
เรียกว่า “เครือข่ายไทยสาร”ดังภาพที่ 1.4 เป็นการทำงานของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ค.ศ.1988
ภาพที่
1.4 แผนผังอินเทอร์เน็ตประเทศไทย ปี ค.ศ.1998
ที่มา www.cybergeography.com
3. องค์ประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การที่ระบบเครือข่ายจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ
ได้แก่ การมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่นำมาเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่มีความพร้อมสายสัญญาณที่มีความเร็วสูงระบบการติดต่อสื่อสารชนิดที่ใช้งานแพร่หลาย
และระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่นิยมใช้ และมีความสะดวกในการทำงาน
3.1
คอมพิวเตอร์ (Computer) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยคอมพิวเตอร์อย่างน้อย
2 เครื่องที่เชื่อมต่อกัน
คอมพิวเตอร์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง
และไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบเดียวกัน คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องควรมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรองรับการทำงานของผู้ใช้ของเครื่องนั้น
ๆ ได้ ส่วนการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายไม่ต้องใช้ทรัพยากรของเครื่องเพิ่มมากนัก
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องอัพเกรดเครื่องเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการซึ่งจะต่างกับผู้ใช้อื่นในระบบเครือข่าย
แต่ถ้าเป็นเซิร์ฟเวอร์แล้วเครื่องนั้นควรมีประสิทธิภาพสูงพอที่จะรองรับการให้บริการทางเครือข่ายได้
3.2 เน็ตเวิร์คการ์ด (Network Card) เน็ตเวิร์คการ์ดเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายหรือเรียกว่า
แลนการ์ด (LAN
Card) อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่แปลงข้อมูลเป็นสัญญาณที่สามารถส่งไปตามสายสัญญาณหรือสื่อแบบอื่นได้
ปัจจุบันนี้มีการ์ดหลายประเภท ซึ่งถูกออกแบบให้ใช้กับเครือข่ายประเภทต่างๆ การ์ดแต่ละประเภทอาจใช้ได้กับสายสัญญาณบางชนิดเท่านั้น
หรืออาจจะใช้ได้กับสัญญาณหลายชนิด เน็ตเวิร์คการ์ดสามารถติดตั้งกับคอมพิวเตอร์โดยเสียบเข้ากับสล็อตบนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์
ซึ่งปัจจุบันเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ จะมีเน็ตเวิร์คการ์ดอยู่บนเมนบอร์ดแล้ว
ทำให้มีความสะดวกในการใช้งาน ถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของเมนบอร์ดทุกรุ่น ดังภาพที่
1.7 แสดงเน็ตเวิร์คการ์ดชนิดต่าง ๆ

ภาพที่ 1.7 เน็ตเวิร์คการ์ดชนิดต่างๆ
3.3 สื่อกลาง (Media) หรือตัวกลางที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ
เข้าด้วยกัน และยอมให้ข่าวสารข้อมูลเดินทางจากผู้ส่งไปสู่ผู้รับ
สื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลมีอยู่หลายประเภท แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันในด้านของปริมาณข้อมูลที่สามารถนำผ่านไปได้ใน
ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับแบนด์วิธ (Bandwidth) ของสื่อกลางแต่ละประเภท ลักษณะของสื่อกลางต่างๆ ได้แก่
สื่อกลางที่ใช้สายเป็นตัวนำ และไม่ใช้สายเป็นตัวนำ รวมทั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย
ได้แก่ ฮับ/สวิตช์และเราเตอร์ ดังภาพที่ 1.8
สายสัญญาณและอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย
ภาพที่ 1.8 สายสัญญาณและอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย
3.4 โปรโตคอล (Protocol) โปรโตคอลเป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หรือเป็นภาษาที่คอมพิวเตอร์ใช้สื่อสารกัน ดังนั้น
คอมพิวเตอร์ที่ต้องการสื่อสารกันจำเป็นที่ต้องใช้ภาษาหรือโปรโตคอลเดียวกัน
เพราะไม่เช่นนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะสื่อสารกันไม่ได้
ปัจจุบันโปรโตคอลที่นิยมใช้มากที่สุดคือ โปรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โปรโตคอล TCP/IP (Transmission
Control Protocol/Internet Protocol) เป็นชุดของโปรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจากต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้
และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ
ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะผ่านเครือข่ายที่มีปัญหา
โปรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางอื่นในการส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางได้ชุดโปรโตคอลนี้ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี
1960
ซึ่งถูกใช้เป็นครั้งแรกในเครือข่ายอาร์ปาเน็ต ซึ่งต่อมาได้ขยายการเชื่อมต่อไปทั่วโลกเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ทำให้ TCP/IP เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบันภาพที่
1.9 แสดงโปรโตคอล TCP/IP
ภาพที่ 1.9 แสดงโปรโตคอล TCP/IP
ที่มา : http://www.it.co.th
3.5 ระบบปฏิบัติการเครือข่าย ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับการเข้าใช้ทรัพยากรต่าง
ๆ ของโปรแกรมที่รันบนคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น
ถ้าไม่มีระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คงจะรันโปรแกรมมากกว่าหนึ่งโปรแกรมไม่ได้
เพราะแต่ละโปรแกรมอาจแย่งใช้ทรัพยากรจนอาจทำให้ระบบล่มได้ ระบบเครือข่าย
เช่น เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย
จำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการทั้งสองประเภท
เพื่อที่จะทำหน้าที่ทั้งจัดการทรัพยากรภายในคอมพิวเตอร์และในระบบเครือข่าย แต่โดยส่วนใหญ่ระบบ ปฏิบัติการทั้งสองประเภทจะอยู่ในตัวเดียวกัน เมื่อติดตั้งระบบปฏิบัติการเสร็จแล้วก็เพียงติดตั้งส่วนที่เป็นเครือข่ายเท่านั้น
บริการหลักของระบบปฏิบัติการเครือข่าย
การเลือกใช้ระบบปฏิบัติการเครือข่ายอาจมีผลต่อการใช้งานเครือข่ายขององค์กรอย่างมาก
ซึ่งอาจมีผลต่อความยากง่ายต่อการใช้งาน ความยากง่ายต่อการดูแล และจัดการระบบแอปพลิเคชันต่าง ๆ
ที่แชร์กันใช้ในระบบโครงสร้างของเครือข่าย
รวมถึงระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูล เป็นต้น
สิ่งที่ควรพิจารณาเปรียบเทียบก่อนที่ตัดสินใจมีดังต่อไปนี้
3.5.1 บริการจัดเก็บไฟล์และการพิมพ์
การแชร์ไฟล์และเครื่องพิมพ์ถือได้ว่าเป็นจุดประสงค์หลักของการสร้างระบบเครือข่าย
ดังนั้น ฟังก์ชันนี้จึงเป็นส่วนที่สำคัญของระบบปฏิบัติการเครือข่าย บริการจัดเก็บไฟล์และการพิมพ์ของระบบจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดการเครื่องพิมพ์
ความสามารถในการจัดการเกี่ยวกับพื้นที่เก็บไฟล์ที่แชร์ระหว่างผู้ใช้ รวมถึงระบบควบคุมการเข้าใช้ทรัพยากรเหล่านี้
3.5.2 บริการดูแลและจัดการระบบ
การจัดการเครือข่ายถือเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน เช่น
การจัดการเกี่ยวกับผู้ใช้ (User Accounts) คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย การควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครือข่าย การรายงานเกี่ยวกับข้อผิดพลาดต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในเครือข่ายและการเฝ้าดูระบบเครือข่ายเพื่อทราบถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและสามารถแก้ไขได้ทันเวลา หรือก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่
ยิ่งเครือข่ายมีขนาดใหญ่ยิ่งจะทำให้หน้าที่ของผู้ดูแลระบบซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นระบบปฏิบัติการเครือข่ายจำเป็นต้องมีฟังก์ชันที่ช่วยลดความซ้ำซ้อนของงานเหล่านี้
3.5.3
บริการรักษาความปลอดภัย
การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่ายถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
เนื่องจากถ้าระบบถูกทำลาย ความเสียหายอาจมากเกินกว่าที่คิดไว้ก็ได้
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบางประเภทที่ต้องการความปลอดภัย เช่น
ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัทหรือองค์กร
การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้จำเป็นที่ต้องจำกัดอยู่เฉพาะผู้ที่มีสิทธิเท่านั้น
ดังนั้นระบบปฏิบัติการเครือข่ายควรมีฟังก์ชันที่สามารถแยกแยะผู้ใช้
โดยสามารถกำหนดสิทธิ์ให้กับผู้ใช้หรือกลุ่มของผู้ใช้ได้
3.5.4 บริการอินเตอร์เน็ตและอินทราเน็ต ปัจจุบันการให้บริการอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ตถือเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับองค์กร
ระบบปฏิบัติการเครือข่ายต้องมีฟังก์ชันที่ให้บริการด้านนี้ด้วย
ซึ่งบริการเหล่านี้จะช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการเว็บ
เพราะเป็นเทคโนโลยีที่สะดวกต่อการใช้งาน ฝั่งไคลเอนต์เพียงแค่มีโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ก็สามารถใช้งานได้แล้ว
3.5.5 บริการมัลติโพรเซสซิ่งและคลัสเตอริ่งประสิทธิภาพในการให้บริการของเซิร์ฟเวอร์
และความเชื่อถือได้หรือความสามารถในการให้บริการอย่างต่อเนื่องก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
โดยเฉพาะกับระบบธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล
การเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบและประสิทธิภาพในการให้บริการสามารถทำได้ 2
วิธีคือ มัลติโพรเซสซิ่ง (Multiprocessing) และคลัสเตอริ่ง (Clustering)
กรุณาคลิกไปยัง แบบทดสอบ https://goo.gl/forms/b0dHPT52b9hnkJXy2