1. การใช้ขนาดทางกายภาพเป็นเกณฑ์
ถ้าใช้ขนาดทางกายภาพเป็นเกณฑ์
เครือข่ายสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
เครือข่ายท้องถิ่น (LAN) และเครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN)
ซึ่งเครือข่ายท้องถิ่นเป็นเครือข่ายขนาดเล็กครอบคลุมพื้นที่บริเวณจำกัด
เช่น ภายในห้องหรือภายในอาคาร ส่วนเครือข่ายบริเวณกว้างจะเป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายท้องถิ่น
2 เครือข่ายเข้าด้วยกัน
การแบ่งเครือข่ายทางกายภาพขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่ใช้ในการเชื่อมต่อและขนาดของระบบเครือข่ายเป็นหลัก
ได้แก่
1.1 เครือข่ายท้องถิ่น (LAN :
Local Area Network) เป็นระบบเครือข่ายที่มีการเชื่อมโยงกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
รวมทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ ในลักษณะเป็นกลุ่มขนาดเล็ก โดยมีการติดตั้งและใช้งานในบริเวณ
ใกล้เคียงกัน เช่น ภายในแผนกเดียวกัน ภายในสำนักงานเดียวกัน
ภายในอาคารเดียวกันหรือระหว่างอาคารที่อยู่ห่างไกลกันไม่มากนัก เช่น
ระบบเครือข่ายภายในโรงพยาบาล ระบบเครือข่ายภายใน มหาวิทยาลัย เป็นต้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันและใช้ทรัพยากรต่างๆ
ร่วมกัน ซึ่งทรัพยากรดังกล่าวเช่น เครื่องพิมพ์ และแฟ้มข้อมูล ประกอบด้วยรูปแบบของ อีเธอร์เน็ต อีเธอร์เน็ตความเร็วสูง โทเคนริง
และเอฟดีดีไอ
1.1.1
อีเธอร์เน็ต
เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายแลนที่มีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุด 10
Mbps อีเธอร์เน็ตใช้โปรโตคอล CSMA/CD ในการเข้าถึงตัวกลาง
และได้ถูกกำหนดมาตรฐานไว้ 4 แบบตามชนิด ของตัวกลาง
วิธีการเชื่อมต่อทางกายภาพ และรูปแบบการรับส่งข้อมูลผ่านตัวกลาง ได้แก่ 10Base5 10Base2 10Base-T และ 10Base-FL
1.1.2 อีเธอร์เน็ตความเร็วสูง
เป็นเครือข่ายแลนที่มีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ฟาสต์อีเธอร์เน็ต และกิกะบิตอีเธอร์เน็ต
1.1.2.1 ฟาสต์อีเธอร์เน็ต
เป็นเครือข่ายแลนที่อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุด 100 Mbps ฟาสต์อีเธอร์เน็ต แบ่งออกเป็น 3 แบบ
ตามชนิดของตัวกลาง วิธีการเชื่อมต่อทางกายภาพ และรูปแบบ
การรับส่งข้อมูลผ่านตัวกลาง ได้แก่ 100Base-TX 100Base-FX และ 100Base-T4
1.1.2.2 กิกะบิตอีเธอร์เน็ต
เป็นเครือข่ายแลนที่มีอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุด 1,000 Mbps กิกะบิตอีเธอร์เน็ต แบ่งออกเป็น 3 แบบ
ตามชนิดของตัวกลาง วิธีการเชื่อมต่อทางกายภาพ และรูปแบบ
การรับส่งข้อมูลผ่านตัวกลาง ได้แก่ 1,000Base-SX 1,000Base-LX 1,000Base-CX
และ 1,000Base-T
1.1.3 โทเค็นริง
เป็นเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลเครือข่ายแลนในยุคเริ่มแรกที่ได้รับการพัฒนาจากบริษัท
ไอบีเอ็ม และมีการกำหนดรายละเอียดภายใต้มาตรฐาน IEEE 802.5
โทเค็นริงใช้โทโพโลยีการเชื่อมต่อทาง
กายภาพแบบวงแหวนและใช้วิธีการเข้าใช้ตัวกลางโดยการส่งผ่านโทเค็น
ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากมี อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำ
1.1.4 FDDI เป็นเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลเครือข่ายโทเค็นริงที่มีความเร็วสูงถูกพัฒนาขึ้นโดย
องค์การ ANSI เพื่อนำมาใช้เป็นเครือข่ายหลักสำหรับเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอื่น
เช่น อีเธอร์เน็ต
และมีการกำหนดรายละเอียดภายใต้มาตรฐาน IEEE 802.5 มีอัตราเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ระดับ
100 เมกะบิต ต่อวินาทีขึ้นไป
ใช้สายใยแก้วนำแสงเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูล และใช้วิธีการเข้าใช้ตัวกลางโดยการ
ส่งผ่านโทเค็น สามารถรับส่งข้อมูลได้ในระยะทางไกลถึง 200 กิโลเมตร
ภาพที่ 3.1 แสดงเครือข่ายท้องถิ่น LAN
ที่มา : http://www.thaigoodview.com
1.2 เครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN
: Wide Area Network) เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่สุดที่ได้รวมการเชื่อมโยงเครือข่ายท้องถิ่นหลาย
ๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน ให้สามารถรับส่งข้อมูลถึงกันได้เป็นระยะทางไกล ๆ เช่น
การเชื่อมต่อเครือข่ายของสำนักงานสาขาย่อยเข้ากับเครือข่ายของสำนักงานใหญ่ที่อยู่ห่างกันไกล
การ รับส่งข้อมูลระหว่างจังหวัด ประเทศ ทวีป และทั่วโลก เป็นต้น ดังภาพที่ 3.2
แสดงการเชื่อมโยงเครือข่ายท้องถิ่นเข้าด้วยกัน
ภาพที่ 3.2 เครือข่าย WAN
ที่มา : http://www.purplezeus.com
ปัญหาประการหนึ่งในการเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน
เพื่อให้เกิดการสื่อสารแบบหนึ่งต่อหนึ่ง โดยใช้การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด
หรือการเชื่อมต่อด้วยโทโพโลยีแบบเมซ
แต่ในทางปฏิบัติคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่
เนื่องจากต้นทุนมหาศาลของสายสื่อสารที่นำมาเชื่อมต่อ
ดังจึงมีการเชื่อมต่อแบบหลายจุดอย่างโทโพโลยีแบบบัส
ที่อุปกรณ์เครือข่ายสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสายแกนหลักได้ทันที
โดยใช้สายแกนหลักเป็นสายสื่อสารเพื่อการรับส่งข้อมูลร่วมกัน
แต่สำหรับแนวทางที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง คือ เทคนิคการสวิตชิ่ง
โดยสวิตช์คืออุปกรณ์ที่มีความสามารถในการสร้างการเชื่อมต่อแบบชั่วคราวระหว่างสองอุปกรณ์หรือมากกว่าเพื่อลิงก์ผ่านสวิตช์
มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ
1.2.1 เซอร์กิตสวิตชิ่ง
เทคนิคการเชื่อมต่อแบบเซอร์กิตสวิตชิ่ง
เป็นเทคนิคการเชื่อมต่อแบบหนึ่งที่นำอุปกรณ์สวิตช์มาทำการสร้างการเชื่อมต่อแบบชั่วคราวระหว่างผู้รับและผู้ส่งโดยการนำอุปกรณ์สวิตช์มาเป็นเครือข่ายเพื่อทำหน้าที่แทนการเชื่อมต่อโดยตรงทำให้การรับส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทางสามารถเลือกหรือ
ค้นหาเส้นทางในการรับส่งข้อมูลได้
และส่งผลให้เกิดการใช้ช่องสัญญาณการรับส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เครือข่ายเซอร์กิตสวิตชิ่ง เป็นเทคนิคการสร้างเส้นทางกายภาพ หรือ
เส้นทางผ่านจริงของสัญญาณให้กับอุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
โดยใช้วงจร
สวิตช์ชิ่งเป็นอุปกรณ์หลักสำหรับทำหน้าที่ในการสร้างการติดต่อสื่อสารระหว่างจุด 2
จุด หรือระหว่างต้น ทางกับปลายทาง ดังภาพที่ 3.3 ที่ต้นทางมีผู้ส่งเป็น A B และ C และผู้รับที่ปลายทางเป็น D E F และ G
ภาพที่ 3.3 ลักษณะของเครือข่ายเซอร์กิตสวิตชิ่ง
ที่มา : ปริญญา น้อยดอนไพร,หน้า 237
2.
การใช้ลักษณะหน้าที่การทำงาน
ในระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่มีคอมพิวเตอร์จำนวนไม่กี่เครื่องไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์อย่างเดียวเสมอไป
การสื่อสารอาจเป็นในรูปแบบเท่าเทียม
หรือคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนท์ในเวลาเดียวกัน
คำว่า “Peer” แปลว่าเท่าเทียมกัน
ดังนั้นเครือข่ายแบบเท่าเทียมนี้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะทำหน้าที่คล้ายกัน
คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแบบนี้ยังคงสามารถรับส่งข้อมูลถึงกันและกันได้สามารถถ่ายโอนไฟล์ไปยังฮาร์ดดิสก์ของอีกเครื่องหนึ่งได้หรือแม้ใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกันได้
อย่างไรก็ตามเมื่อเครือข่ายมีการขยายใหญ่ขึ้น การมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะมีความสะดวกต่อการจัดการระบบเครือข่ายเช่น
การจัดการพื้นที่เก็บข้อมูล การควบคุมการใช้เครื่องพิมพ์
และการอัพเกรดโปรแกรมต่างๆ เป็นต้น
โดยปกติเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ
เครื่องถูกเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายแล้วมักจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็น
“เซิร์ฟเวอร์”ซึ่งทำหน้าที่ให้บริการต่างๆเช่น เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูล
ไฟล์
หรือโปรแกรมต่างๆนกจากนี้ยังทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับทรัพยากรที่อยู่ในระบบเครือข่าย
เช่น เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
ซึ่งการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ร่วมกันทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในอุปกรณ์เหล่านี้ได้
ส่วนคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้บริการดังกล่าวเรียกว่า
“ไคลเอนท์” การที่เซิร์ฟเวอร์จะให้บริการแก่ลูกค้าหลายๆ
คนจำเป็นต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพดีพอ
ดังนั้นเครื่องที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ปกติจะมีราคาแพงกว่าเครื่องไคลเอนท์ทั่วไป
2.1
เครือข่ายแบบเท่าเทียม (Peer-to-Peer Network)
เครือข่ายประเภทนี้ไม่มีเซิร์ฟเวอร์
และไม่มีการแบ่งชั้นความสำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการจัดการใช้เครือข่ายซึ่งเรียกว่า
เพียร์ (Peer)
นั่นเอง
คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะทำหน้าที่เป็นทั้งไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์แล้วแต่การใช้งานของผู้ใช้เครือข่ายประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมีผู้ดูแลจัดการระบบ
หน้าที่นี้จะกระจายไปยังผู้ใช้แต่ละคน
ในระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่มีคอมพิวเตอร์จำนวนไม่กี่เครื่องไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์อย่างเดียวเสมอไป
การสื่อสารอาจเป็นในรูปแบบเท่าเทียม
ดังนั้นเครือข่ายแบบเท่าเทียมนี้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะทำหน้าที่คล้ายกัน
ดังภาพที่ 3.5 แสดงเครือข่ายแบบเท่าเทียมมีการแชร์พริ้นเตอร์และสแกนเนอร์
ภาพที่ 3.5 เครือข่ายเท่าเทียม
ในเครือข่ายหนึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถกำหนดการแชร์ทรัพยากรที่มีอยู่ในเครื่องของตัวเองได้
ซึ่งทรัพยากรเหล่านี้รวมทั้งโฟลเดอร์ที่จะแชร์ในฮาร์ดดิสก์ตัวเอง เครื่องพิมพ์
เป็นต้น ในสภาพแวดล้อมทั่วไปของเครือข่ายแบบเท่าเทียมนั้น
ผู้ใช้ที่เป็นเจ้าของเครื่องจะใช้ทรัพยากรส่วนใหญ่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวเอง
ส่วนผู้ใช้คนอื่นจะใช้ทรัพยากรบางส่วนผ่านทางเครือข่าย
การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
หมายถึง การทำให้ข้อมูลปลอดจากการนำไปใช้โดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือมีสิทธิ์ ส่วนวิธีการนั้นอาจมีหลายวิธี เช่น
การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล หรือกำหนดรหัสลับในการเข้าใช้ข้อมูลที่ได้แชร์ไว้
เป็นต้น ในสภาพแวดล้อม แบบเท่าเทียม
ผู้ใช้แต่ละคนต้องกำหนดรหัสลับกับทุกทรัพยากรที่แชร์ไว้ ซึ่งวิธีการนี้ก็ไม่สามารถรวมศูนย์ควบคุมเพื่อการรักษาความปลอดภัย
การทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดช่องโหว่
เพราะผู้ใช้บางคนอาจไม่ได้กำหนดระดับความปลอดภัยในเครื่องตัวเองเลย
ถ้าหากความปลอดภัยของข้อมูลมีความสำคัญ
เครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์จะเหมาะสมกว่า เพราะง่ายต่อการรักษาความปลอดภัย
2.2
เครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server
Network)
ถ้าระบบเครือข่ายมีคอมพิวเตอร์จำนวนไม่มากนัก
ควรสร้างเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ เนื่องจากง่ายและค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า
แต่เมื่อเครือข่ายมีการขยายใหญ่ จำนวนผู้ใช้มากขึ้น
การดูแลและจัดการระบบก็จะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
เครือข่ายจำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ทำหน้าที่จัดการเรื่องต่างๆ และให้บริการอื่นๆ
เครื่องเซิร์ฟเวอร์นั้นควรที่จะเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถให้บริการกับผู้ใช้ได้หลายๆ
คนในเวลาเดียวกันและขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการเข้าใช้บริการและทรัพยากรต่างๆ
ของผู้ใช้เครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์เป็นระบบที่ส่วนใหญ่ยอมรับว่าเป็นมาตรฐานของการสร้างเครือข่ายในปัจจุบันแล้ว ถึงแม้ว่าการติดตั้ง การกำหนดค่าต่างๆ
และการดูแลและการจัดการเครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์จะค่อนข้างยากกว่าแบบเพียร์ทูเพียร์ก็ตาม
แต่เครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ก็มีข้อได้เปรียบอยู่หลายข้อดังนี้
เซิร์ฟเวอร์ทำหน้าที่ให้บริการด้านต่างๆ แก่ผู้ใช้
ในขณะเดียวกันก็ควบคุมและรักษาความปลอดภัยข้อมูลด้วย
เครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์จะรวมศูนย์การดูแลและจัดการเครือข่ายพร้อมทั้งควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรที่มีการแชร์ในเครือข่าย
เนื่องจากว่าทรัพยากรเหล่านี้ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์จึงทำให้ง่ายต่อการค้นหาและจัดการมากกว่าทรัพยากรที่ถูกเก็บไว้กระจัดกระจายตามเครื่องไคลเอนต์ต่างๆเหมือดังในเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์
ความปลอดภัยของข้อมูลอาจเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลักที่ทำให้ต้องเลือกเครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์
เพราะในสภาวะแวดล้อมอย่างนี้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดนโยบายการรักษาความปลอดภัย
และบังคับใช้ทุกคนในเครือข่ายได้ ทำให้การรักษาความปลอดภัยง่ายขึ้น ข้อมูลถือได้ว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร
ถ้าข้อมูลเกิดความเสียหายอาจมีผลกระทบต่อองค์กรมาก
ความเสียหายที่อาจเกิดกับข้อมูลนั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ
แต่เราสามารถป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ วิธีหนึ่งก็คือการสำรองข้อมูล
เมื่อเซิร์ฟเวอร์ล้มเหลวก็สามารถ กู้คืนได้
การเก็บสำรองข้อมูลสามารถทำได้วันละหลายๆ ครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้ง
ขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูลและความถี่ของการเปลี่ยนแปลงข้อมูล
ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดให้เซิร์ฟเวอร์ทำการบันทึกข้อมูลสำรองโดยอัตโนมัติไม่ว่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะตั้ง
ณ จุดใดในเครือข่าย
เนื่องจากเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์มีโปรแกรมอเนกประสงค์ที่ใช้ในการจัดการเครือข่ายหลายอย่าง
จึงทำให้เครือข่ายแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์มีผู้ใช้งานเป็นพันๆ
คนซึ่งในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ไม่สามารถทำได้ในเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ ดังภาพที่
3.6
ภาพที่
3.6 แสดงการเชื่อมต่อของเครือข่ายไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์
3.การใช้ระดับความปลอดภัยของข้อมูล
วิธีหนึ่งในการแบ่งประเภทเครือข่ายคือ
การใช้ระดับความปลอดภัยของข้อมูลซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายอินทราเน็ต
(Intranet) และเครือข่ายเอ็กทราเน็ต (Extranet) อินเตอร์เน็ตถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ทุกคนสามารถเชื่อมต่อเข้าไปใช้งานได้
เครือข่ายนี้จะไม่มีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่แชร์ไว้บนอินเตอร์เน็ตได้
อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลข้อมูลจะถูกแชร์เฉพาะผู้ใช้ที่อยู่ข้างในเท่านั้น
หรือผู้ใช้อินเตอร์ไม่สามารถเข้ามาดูข้อมูลในอินทราเน็ตได้
ส่วนเอ็กส์ตราเน็ตนั้นเป็นเครือข่ายแบบกึ่งเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างองค์กรเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างซึ่งกันและกัน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ต้องมีการควบคุม เพราะเฉพาะข้อมูลบางอย่างเท่านั้นที่ต้องการแลกเปลี่ยน
3.1
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก
ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นล้านๆ
เครื่องเชื่อมต่อเข้ากับระบบและยังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี
อินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้ทั่วโลกหลายพันล้านคน
และผู้ใช้เหล่านั้นสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ
โดยที่ระยะทางและเวลาไม่เป็นอุปสรรค
ภาพที่
3.7 แสดงลักษณะของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่าง
ๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้
อินเทอร์เน็ตเชื่อมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ
มหาวิทยาลัย
หน่วยงานของรัฐบาล
หรือแม้กระทั่งแหล่งข้อมูลบุคคล องค์กรธุรกิจหลายองค์กรได้ใช้อินเทอร์เน็ตช่วยในการทำการค้า เช่น การติดต่อซื้อขายผ่าน อีคอมเมิร์ช
ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยม
เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูกกว่าและมีฐานลูกค้าที่ใหญ่กว่ามาก
3.2
เครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet) เป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น การใช้งานเว็บเบราเซอร์
การรับส่งอีเมล์ การส่งไฟล์โปรโตคอล เป็นต้น อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP สำหรับการรับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณหลายประเภท
ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต แต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้อินทราเน็ตทำงานได้
อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้นสำหรับให้พนักงานขององค์กรใช้เท่านั้น
การแชร์ข้อมูลจะอยู่เฉพาะในอินทราเน็ตเท่านั้น
ภาพที่
1.19 เครือข่ายอินทราเน็ตของมหาวิทยาลัยรังสิต
ที่มา
: http://www.
http://intranet.rsu.ac.th
ระบบการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่แยกอินทราเน็ตออกจากอินเทอร์เน็ต เครือข่ายอินทราเน็ตขององค์กรจะถูกปกป้องโดยไฟล์วอลล์
(Firewall)
ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่กรองข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างอินทราเน็ตและอินเตอร์เน็ตเมื่อทั้งสองระบบมีการเชื่อมต่อกัน
ดังนั้นองค์กรสามารถกำหนดนโยบายเพื่อควบคุมการเข้าใช้งานอินทราเน็ตได้
3.3 เครือข่ายเอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) เป็นเครือข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต
กล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ต
คือเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสององค์กร ดังนั้นจะมีบางส่วนของเครือข่ายที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างสององค์กร
การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จำกัดด้วยเทคโนโลยี
แต่จะยากตรงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ทั้งสององค์กรจะต้องตกลงกัน เช่น องค์กรหนึ่งอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้อีกองค์กรหนึ่งล็อกอินเข้าระบบอินทราเน็ตของตัวเองหรือไม่ เป็นต้น
การสร้างเอ็กส์ทราเน็ตจะเน้นที่ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล
รวมถึงการติดตั้งไฟล์วอลล์ หรือระหว่างอินทราเน็ตและการเข้ารหัสข้อมูล
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ
นโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการบังคับใช้
ภาพที่
1.20 แสดงเครือข่ายเอ็กส์ทราเน็ตของวิทยาลัยเทคนิคพัทลุง
ที่มา
: http://www.rms.ptl.ac.th